การใช้ยา NSAIDs ระยะยาวในแมว

ในสมัยก่อนมักมีความเชื่อที่ว่าการปล่อยให้สัตว์มีความเจ็บปวดเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดหรือการรักษา เป็นสิ่งที่ควรปล่อยขึ้นให้เป็นปกติ นับเป็น ‘good pain’ เพื่อป้องกันสัตว์เคลื่อนไหว ส่งผลให้แผลหายเร็วขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วความเจ็บปวดกลับเป็นสิ่งที่ยืดระยะเวลาการหายของแผลออกไป ทำให้คุณภาพการใช้ชีวิตแย่ลงทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึง ทำลายความสัมพันธ์ของสัตว์และเจ้าของลงได้
กลุ่มยา (NSAIDs) มีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ฮิปโปเครติส โดยผลิตจากสมุนไพร พวกเปลือกไม้และใบไม้ โดยได้พัฒนาเรื่อยมาเพื่อใช้ในสัตว์ โดย NSAIDs มีการอนุญาตให้ใช้แพร่หลายอย่างถูกต้องในสุนัขมาเป็นระยะเวลานาน แต่ในแมวยังมีความกังวลสงสัยในการใช้ยาชนิดนี้อยู่ เนื่องจากความสามารถในการตรวจเจอความเจ็บปวดในแมวนั้นทำได้ยากกว่าในสุนัข เพราะแมวเป็นสัตว์นักล่าแบบเดี่ยว(solitary hunter) ทำให้มันมักซ่อนอาการเจ็บปวดได้ดี และจากการสำรวจส่วนใหญ่พบว่าคุณหมอหลายท่านมักให้ยากลุ่มระงับอาการปวดกับสุนัขมากกว่าแมว เนื่องจากเหตุผลหลายๆอย่าง เช่น การตรวจเจอความเจ็บปวดที่ทำได้ยากกว่า การขาดความรู้ในการใช้ยาลดปวดและความกังวลต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้ยา
การตรวจเจอความเจ็บปวดแบบเรื้อรัง (chronic pain) ในแมวนั้นทำได้ยากกว่าสุนัข แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย คุณหมอสามารถสังเกตได้ตั้งแต่แมวไม่ตอบสนอง หรือสนใจต่อสิ่งแวดล้อม แมวเคลื่อนไหวลดลง ปฏิสัมพันธ์ต่อเจ้าของและสัตว์ตัวอื่นแย่ลง ก้าวร้าว รวมไปถึงกินอาหารได้น้อยลง โดยอาการความเจ็บปวดที่จะนับว่าเป็นแบบเรื้อรัง คือพบว่าอยู่ยาวนานมากกว่า 2-3 สัปดาห์ และอาจพบยาวไปได้หลายเดือนจนถึงหลายปี ที่สำคัญการแสดงออกต่อความเจ็บปวดของแมวนั้น ไม่ได้สอดคล้องหรือแปรผันต่อความรุนแรงของโรคแต่อย่างใด
การให้ยาระงับปวดหลายรูปแบบร่วมกัน (Multimodal analgesia) นับเป็นวิธีที่มักใช้ในการระงับปวด แต่ตัวที่เป็นพระเอกสุดในงานนี้ หนีไม่พ้นว่าเป็น NSAIDs นั่นเองที่ช่วยจัดการความเจ็บปวดแบบเรื้อรังในแมว โดยเฉพาะความเจ็บปวดจากกลุ่มกล้ามเนื้อและโครงกระดูก (musculoskeletal) และ NSAIDs ตัวที่มีการอนุญาตให้ใช้ระยะยาวในแมว คือ meloxicam และ robenacoxib (ซึ่ง robenacoxib อนุญาตให้ใช้ได้ถึงแค่ 6 วัน)
โรคที่เป็นสาเหตุของการอักเสบและเจ็บปวดเรื้อรังในแมว ที่มักเจอได้บ่อย ได้แก่ Degenerative joint disease (DJD) จะเจอรอยโรคที่กระดูกสันหลังและข้อต่างๆ เช่น hip stifle elbow และ tarsus ในแมวแก่ ซึ่งเจ้าของมักเข้าใจผิดว่าเป็นความปกติที่เกิดขึ้นได้ในแมวที่อายุเยอะ สิ่งที่เจ้าของมักจะเจอ คือ พฤติกรรมแมวที่เปลี่ยนไป ได้แก่ 1.กิจกรรมที่ลดลง เช่น นอนมากขึ้น ไม่ออกล่าเหยื่อ 2.ขยับตัวน้อยลง เช่น ไม่อยากกระโดด กระโดดได้สูงไม่เท่าเดิม ลำบากในการใช้กระบะทราย 3.แต่งตัวน้อยลง เช่น ขนยุ่งไม่เงางาม เล็บยาว 4.นิสัยที่เปลี่ยนไป เช่น หงุดหงิดง่ายขึ้น ไม่ชอบเจอคนและสัตว์ตัวอื่น ส่วนอาการอื่นๆที่อาจพบได้ คือ ก้าวร้าว ร้องเสียงดังเวลาจับตัว หรือ เบื่ออาหาร ส่วนโรคอื่นๆที่พบความเจ็บปวดแบบเรื้อรัง ได้แก่ กลุ่มโรคมะเร็ง ภาวะบาดเจ็บ, lymphoplasmacytic gingivostomatitis, idiopathic cystitis หรือ uveitis นอกจากนี้ในบางเคสที่คุณหมอยังไม่สามารถวินิจฉัยฟันธงได้ สามารถเลือกใช้ยากลุ่ม NSAID เพื่อดูว่ามีการตอบสนองหรือไม่ และจะได้ใช้เป็นแนวทางในการวินิจฉัยหรือรักษาเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ควรแจ้งเจ้าของให้รับทราบก่อนทุกครั้ง
นอกจากการเลือกชนิดยา NSAIDs ตามการออกฤทธิ์แล้ว คุณหมอควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆที่จะช่วยให้การเลือกใช้ยาในระยะยาวนั้นง่ายขึ้น ยาควรมีความน่ากินสูงและแมวสามารถกินได้เอง โดยที่ไม่ต้องบังคับมาก เช่นเลือกยา ที่ผสมในอาหารหรือเป็นขนม ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า meloxicam แบบกินชนิดน้ำ มีความน่ากินสูงมากในแมว และยังพบด้วยว่า มีความน่ากินมากกว่า ketoprofen ชนิดเม็ด และส่งเสริมเจ้าของให้ทำการให้ยาแก่สัตว์ที่ถูกต้องและแม่นยำ เช่น กำหนดวันและเวลา ที่ต้องให้ เป็นเวลาเดียวกันทุกครั้งหลังกินอาหาร เพื่อจะได้มั่นใจว่าแมวจะได้รับยา สิ่งที่ต้องคำนึงถัดมา คือ ขนาดยาที่ให้ ควรเริ่มจากขนาดยาที่ต่ำที่สุดที่มีประสิทธิภาพในการรักษาก่อน (lowest effective dose) และแมวที่อ้วนหรือน้ำหนักเกิน คุณหมอควรคำนวณขนาดยาเริ่มต้นจากน้ำหนักตัวตอนที่สัตว์ผอมหรือน้ำหนักตัวตามอุดมคติ และถ้าต้องการจะปรับการจ่ายยา NSAID คุณหมอควรปรับขนาดยาต่ำสุดที่ประสิทธิภาพในการรักษาได้ แต่ไม่ควรลดความถี่ในการให้ หรือถ้าจะมีเหตุที่ไม่สามารถให้ทุกวันได้ อย่างน้อยก็ควรเหลือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์แทน ดีกว่าที่จะไม่ให้อะไรต่อเลย
ยาแบบกินชนิดน้ำนอกจากจะมีข้อดีเรื่องความน่ากินสูงแล้ว ยังมีข้อดีที่เจ้าของสามารถให้ยาแก่สัตว์ในปริมาณที่ง่ายกว่าแบบเม็ด เนื่องจากอุปกรณ์ในการป้อนยาเป็นรูปแบบ syringe ทำให้สามารถให้ยาในปริมาณที่แม่นยำต่อแมวตัวนั้นๆได้ดีขึ้น และถ้าต้องการเปลี่ยนชนิดการใช้ของ NSAID ควรมีระยะหยุดยาอย่างน้อย 3-5 วัน หรือสามารถเว้นระยะได้นานกว่านี้ถ้ายาตัวเดิมที่เคยใช้มีค่าครึ่งชีวิตที่ยาวนาน
หลังการให้ยาไปแล้ว สิ่งสำคัญที่จะช่วยประเมินว่า NSAID ที่จ่ายไปนั้นได้ผลหรือไม่ คือ การมีส่วนรวมของเจ้าของที่จะช่วยสังเกตอาการของแมว โดยมี 4 พฤติกรรมหลัก ได้แก่ การเคลื่อนไหว(mobility) กิจกรรม(activity) การแต่งตัว (grooming) และอารมณ์(temperament) โดยจากงานวิจัยการประเมินหลังการใช้ NSAID ในแมวในการระงับปวดกลุ่มกระดูกและกล้ามเนื้อ แมวสามารถเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น โดยพบว่าแมวอยากที่จะกระโดดและสามารถกระโดดได้สูงขึ้นด้วย
KEY
-เพิ่งมีการประกาศใช้ NSAIDs ในแมว แบบระยะยาว ในบางประเทศเท่านั้น
-NSAIDs เป็นยาที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการความเจ็บปวดเรื้อรังในแมว
-การใช้ Meloxicam เป็นระยะเวลานานในแมวอายุเยอะและแมวที่เป็นโรคไตเรื้อรัง สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย และควรใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดเมื่อต้องการ
ตาราง: NSAIDS ที่มีการอนุญาตให้ใช้ในแมว
หมายเหตุ SC = Subcutaneous, IV= Intravenous และ PO= Per Oral