Pimobendan กับการรักษาโรคหัวใจในสุนัข
โดยประมาณ 10%
ของสุนัขที่เข้ามาพบสัตวแพทย์ในคลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์มีภาวะโรคหัวใจ
ซึ่งมักพบภาวะการรั่วของลิ้นหัวใจ Mitral
อันมีสาเหตุมาจากการเกิดโรคลิ้นหัวใจเรื้อรัง เป็นส่วนใหญ่ และสุนัขประมาณ
75-85% เสียชีวิตจากการเกิดปัญหาโรคหัวใจ ส่วนภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขยายตัว
(Dilated cardiomyopathy)
เป็นโรคหัวใจในสุนัขที่มักพบได้บ่อยและเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของการเสียชีวิตในสุนัข
จึงมักมีการให้ยา Pimobendan
ในกรณีดังกล่าวเนื่องจากเป็นยาที่ได้รับการยืนยันว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
Pimobendan เป็นอนุพันธ์ของ Benzimidazole-pyridazinone
ซึ่งใช้ในกรณีที่สุนัขมีภาวะหัวใจล้มเหลวอันเป็นผลมาจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขยายตัว
(Dilated cardiomyopathy) หรือภาวะลิ้นหัวใจ Mitral รั่ว (Degenerative
mitral valve disease) เนื่องจากคุณสมบัติ positive inotrope ของตัวยา
ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเส้นเลือด artery และ vein โดยตัวยา Pimobendan
มีชื่อการค้าว่า Vetmedin®
อยู่ในรูปของยาเม็ดแบบเคี้ยวทรงรีที่สามารถแบ่งครึ่งได้
แต่เนื่องจากการคงตัวและประสิทธิภาพของยาในรูปแบบของสารแขวนลอยยังไม่มีการศึกษาเพิ่มเติม
ดังนั้นจึงไม่ควรนำยาเม็ดแบบเคี้ยวไปบดผสมน้ำเป็นสารแขวนลอยที่ให้ทางการกิน
นอกจากนี้ยังมีตัวยาในรูปแบบของเม็ดแคปซูลในขนาด 1.25, 2.5 และ 5
มิลลิกรัมซึ่งไม่สามารถแบ่งครึ่งยาได้ ขนาดของยาที่แนะนำในสุนัขคือ
0.25-0.3 mg/kg โดยให้กิน ทุก 12 ชั่วโมง ในช่วงแรกของการให้ยา
หากต้องการให้ยาออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วควรให้ยาในตอนที่ท้องว่าง
จึงแนะนำให้ยาก่อนการกินอาหาร 30 นาที
หากให้ในเคสที่เป็นโรคเรื้อรังสามารถให้พร้อมอาหารได้
โดยปกติรูปแบบยากินจะทำให้เกิดการดูดซึมยาที่เร็วที่สุด
ในสุนัขจะมีการดูดซึมยาที่ 2-4 ชั่วโมง Pimobendan มีกลไกการออกฤทธิ์คือ
เป็น positive inotrope เพิ่มการบีบตัวของหัวใจ โดยเกิดจากการเพิ่ม Cyclic
adenosine monophosphate หรือ cAMP จากการยับยั้ง Phosphodiesterase III
(PDEIII) และเพิ่มการนำ Calcium
เข้าเซลล์โดยไม่ได้ส่งผลต่อการเพิ่มความต้องการ oxygen ของกล้ามเนื้อหัวใจ
ซึ่งการเพิ่มขึ้นของ Calcium ส่งผลให้เกิดการดึงดูด Cardiac troponin C
(TnC) ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของการจับ calcium ในระบบ myofibrillar
troponin-tropomyosin regulatory การจับกันระหว่าง TnC และ calcium
นำไปสู่การกระตุ้นปฏิกิริยาระหว่าง myofibrillar protein
และทำให้เกิดการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ Pimobendan
ยังมีกลไกออกฤทธิ์ที่ช่วยขยายหลอดเลือดจากผลของการยับยั้ง PDEIII
ในกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด artery และ vein
ซึ่งกลไกการขยายตัวนี้ส่งผลบรรเทาภาวะความดันในปอดสูง และนำไปสู่การลดลงของ
preload และ afterload ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
นอกจากนี้ยังมีผลป้องกันการแข็งตัวของเลือดจากผลของการยับยั้ง PDEIII
ทำให้เกิดการยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดอย่างอ่อน ๆ
ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น มักมีการใช้ยา Pimobendan
เพื่อรักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขยายตัวและภาวะลิ้นหัวใจรั่วในสุนัขที่เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
แต่ในโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ
ที่สามารถทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ก็มีการให้ยาตัวนี้เช่นกัน
แต่ควรมีการทำ Echocardiography
และขอคำปรึกษาจากสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจก่อนเสมอ กรณีอื่น ๆ ได้แก่
โรคหัวใจผิดปกติแต่กำเนิดซึ่งส่งผลให้มีปริมาณเลือดในหัวใจมากจนเกินไป เช่น
Patent ductus arteriosus, Ventricular septal defect, Arterial septal
defect, mitral หรือ tricuspid valve dysplasia
หากกล่าวอย่างละเอียด ทาง American college of veterinary internal
medicine หรือ ACVIM ได้แบ่งระยะของโรคหัวใจและภาวะหัวใจล้มเหลวเป็น 2
รูปแบบ ได้แก่ ระยะ Preclinical และระยะ Clinical ของภาวะ DMVD และ DCM
ดังนี้
Preclinical DCM (Stage B2)
ระยะนี้มีลักษณะเด่นคือพบปัญหาการทำงานของหัวใจในขณะ systolic
โดยพบว่าหัวใจห้องล่างซ้ายมีการขยายตัว (Left ventricular dilatation)
ในจังหวะ systolic และ diastolic
โดยอาจพบหรือไม่พบภาวะหัวใจห้องบนซ้ายขยายขนาด (Left atrial enlargement)
และภาวะหัวใจห้องบนหรือหัวใจห้องล่างเต้นผิดปกติก็ได้
โดยความผิดปกติเหล่านี้สามารถตรวจพบได้โดยวิธ๊ Echocardiography
และการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography หรือ ECG)
ซึ่งจะพบปัญหาการทำงานของหัวใจห้องล่างซ้ายในขณะ systolic
มีการศึกษาการให้ยา Pimobendan ในสุนัข Doberman Pinschers และ Irish
wolfhounds พบว่าการได้รับยา Pimobendan
ช่วยลดขนาดของหัวใจห้องล่างซ้ายในขณะ systole และ diastole
ช่วยชะลอค่าเฉลี่ยของการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และเพิ่มอัตราการรอดชีวิต
Clinical DCM (Stage C และ D)
ระยะนี้มีลักษณะเด่นคือพบปัญหาของหัวใจห้องล่างซ้ายในขณะ systolic
และพบการขยายตัวร่วมกับการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งมักพบว่ามีภาวะปอดบวม
โดยอาจเกิดร่วมกับภาวะการมีน้ำในช่องท้องหรือไม่ก็ได้
ร่วมกับภาวะน้ำในเยื่อหุ้มปอดซึ่งอาจพบได้ไม่มากนัก
และอาจพบภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะหรือหัวใจห้องบนสั่นพริ้ว การให้ยา
Pimobendan ร่วมกับยาขับน้ำ Furosemide และยาลดความดัน Benazepril
ในกรณีเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวช่วยให้อาการทางคลินิกดีขึ้น
ยืดระยะเวลาการเกิดการไม่ตอบสนองต่อการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
และเพิ่มอัตราการรอดชีวิต
Preclinical DMVD (Stage B2) หรือภาวะลิ้นหัวใจ mitral
รั่วสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยในสุนัขขนาดเล็กวัยกลางจนถึงสุนัขสูงอายุ
โดยมีลักษณะเด่นคือมีเสียงหัวใจแบบ murmur ที่หัวใจด้านซ้ายในช่วง systolic
ตรงบริเวณเหนือลิ้นหัวใจ mitral
สุนัขในระยะนี้มักพบว่ามีการขยายขนาดของหัวใจโยไม่มีอาการแสดงอื่น ๆ
ทางคลินิก และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้เพียง 30% ของสุนัขทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม อาจนำไปสู่การเกิดโรคอื่น ๆ
ที่เป็นผลมาจากการขยายขนาดของหัวใจได้เช่นกัน การใช้ยา Pimobendan
ในระยะนี้ช่วยชะลอการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวโดยการลดขนาดของหัวใจและเพิ่มอัตราการรอดชีวิต
ดังนั้นในสุนัขที่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันแล้วว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วในระยะ
Preclinical และมีภาพ x-ray และ echocardiogram ขนาดของหัวใจที่ตรงตามเกณฑ์
(Vertebral hear size > 10.5, LA/AO > 1.6, LVIDdN >1.7)
ควรมีการให้ยา Pimobendan ในกรณีที่ไม่มีการทำ Echocardiography
แต่สุนัขมีเสียงหัวใจที่ผิดปกติและผลภาพ x-ray แสดงขนาดของหัวใจที่ขยายใหญ่
VHS > 11.5 ก็มีคำแนะนำว่าควรให้ยา Pimobendan
เพื่อการรักษาและชะลอการเกิดโรค แต่ในกรณีที่ VHS อยู่ที่ระดับ 10.5-11.5
แนะนำให้ทำการตรวจหัวใจด้วย Echocardiograph ก่อนการให้ยา Pimobendan
Clinical DMVD (Stage C และ D) มีลักษณะคล้ายกับในระยะ B2
และมีอาการแสดงออกของภาวะหัวใจล้มเหลว ในiยะนี้การให้ยา Pimobendan
ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตเฉียบพลัน การรักษาที่ล้มเหลว
หรือการการุณยฆาตเนื่องจากปัญหาความผิดปกติของหัวใจ
ในสุนัขที่มีภาวะความดันภายในปอดสูงแบบปานกลาง การให้ยา Pimobendan
จะช่วยลดความดันภายในปอด นอกจากนี้ยังช่วยลดแรงดันภายในหัวใจห้องบนซ้าย
(Left atrium) เพิ่มการทำงานช่วง systolic ของหัวใจข้างขวา
และลดแรงต้านของหลอดเลือดภายในปอดซึ่งส่งผลให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด
มีการใช้ยา Pimobendan ในสุนัข English Cocker spaniels และ Doberman
Pinchers ที่มีปัญหากล้ามเนื้อหัวใจขยายาตัว (Dilated cardiomyopathy)
และปัญหาหัวใจล้มเหลว (Heart failure)
พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
โดยมีการให้ร่วมกับการใช้ยาอื่น ๆ ด้วย เช่น Furosemide, Enalapril,
Digoxin อย่างไรก็ตาม พบว่ามีเพียง Doberman Pinschers
ที่มีอัตราการรอดชีวิตสูงอย่างเห็นได้ชัด
มีการศึกษาอีกหลายอย่างที่ศึกษาเกี่ยวกับการใช้ยา Pimobendan
ในสุนัขที่ป่วยเป็นโรคหัวใจล้มเหลวซึ่งมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจหรือปัญหาลิ้นหัวใจรั่ว
ซึ่งให้ผลการศึกษาที่ตรงกันว่าการใช้ยา Pimobendan
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา เพิ่มอัตราการรอดชีวิต
และค่อนข้างปลอดภัยในการให้ยา ตัวอย่างการศึกษานี้ได้แก่ การทดลองของ EPIC
ซึ่งพูดถึงสุนัข 360 ตัวที่มีเจ้าของ กับการประเมินการใช้ยา Pimobendan
ในสุนัขที่มีหัวใจขยายขนาดอันมีสาเหตุจากปัญหาลิ้นหัวใจรั่วแบบ Preclinical
โดยมีการให้ยา Pimobendan ร่วมกับการให้ยาหลอก (Placebo)
ในกลุ่มสุนัขตัวอย่างในรูปแบบของการสุ่ม
เพื่อประเมินความสามารถในการป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
ซึ่งผลการทดสอบคือ การใช้ยา Pimobendan
มีผลช่วยในการป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวจริงและไม่มีข้อบ่งชี้อื่น ๆ
ที่บอกถึงข้อควรระวังในการใช้ยา
ในการศึกษาอื่น ๆ ก็พบว่าการให้ยา Pimobendan
ค่อนข้างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวซึ่งมีสาเหตุมาจากการขยายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
(DCM) ในสุนัข Doberman Pinschers และภาวะลิ้นหัวใจรั่ว (Degenerative
mitral valve disease) การใช้ยา Pimobendan
จึงได้รับการยืนยันให้ใช้ในสุนัขที่มีปัญหาภาวะหัวใจล้มเหลวตั้งแต่ปี 2000
ในหลายประเทศทั่วโลก
ถึงแม้ว่ายา Pimobendan
จะเรียกได้ว่าค่อนข้างปลอดภัยในสุนัขและสัตว์อื่นที่มีภาวะโรคหัวใจ
ก็ยังพบว่ามีข้อควรระวังบางอย่างที่อาจส่งผลต่อการรักษา เช่น
การเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
หรืออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจห้องบนสั่นพริ้วในสุนัขที่มีปัญหากล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ
แต่มีการศึกษาในปี 2015 ไม่ได้กล่าวถึงข้อควรระวังนี้
และไม่มีการรายงานถึงการเพิ่มขึ้นของความถี่ของการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
(Arrhythmias) ในผู้ป่วย การศึกษาส่วนใหญ่กล่าวว่าการให้ยา Pimobendan
ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต
และโต้เถียงกับการเกิดผลข้างเคียงจากการให้ยาเมื่อให้ยา Pimobendan
เพื่อการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวในสุนัข ยิ่งไปกว่านั้น
ความจำเป็นของการให้ยา Pimobendan ในขนาดที่สูง หรือมากกว่า 0.3 mg/kg
วันละ 3 ครั้ง ในสุนัขที่ป่วยเป็นโรคหัวใจเข้าสู่ระยะ ACVIM stage D
พบว่าการให้ยาในขนาดนี้ช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตและคุณภาพชีวิต
ถึงแม้ว่าจะได้รับปริมาณยาสูงถึง 10 เท่าของปริมาณยาที่ควรได้รับ
แต่ผลข้างเคียงจากการให้ยายังไม่พบความรุนแรงมาก นอกจากนี้
ฐานข้อมูลของศูนย์ควบคุมพิษในสัตว์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2004 จนถึง
เมษายนปี 2010 ได้มีการค้นหาเคสที่เกี่ยวข้องกับการเกิดพิษจากการใช้ยา
Pimobendan โดยมีการประเมินสุนัข 7 ตัวที่ได้รับยา Pimobendan ไปในปริมาณ
2.6 mg/kg จนถึง 21.3 mg/kg พบว่ามีอาการผิดปกติทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
ได้แก่ 4 ใน 7 ตัว มีภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ (Severe tachycardia) 2 ใน 7
ตัว มีภาวะความดันต่ำ และ 2 ใน 7 ตัวมีภาวะความดันสูง ในสุนัข 2
ตัวไม่พบความผิดปกติใดใดทางคลินิก
โดยสุนัขทั้งหมดได้รับการปล่อยกลับบ้านภายใน 24 ชั่วโมง ถึงแม้ว่าใน 3
วันถัดมาจะพบว่ามีสุนัข 1 ตัวเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม ความผิดปกติทางหัวใจที่ไม่แนะนำให้ใช้ยา Pimobendan
คือในกรณีที่สัตว์ป่วยมีภาวะการอุดตันของการส่งเลือดออกจากหัวใจ เช่น โรค
Hypertrophic cardiomyopathy, Subaortic stenosis และ Pulmonic stenosis
หากมีการให้ยา Pimobendan
ในสัตว์ป่วยที่มีการอุดตันของการขับออกหรือมีภาวะความดันต่ำ
สัตวแพทย์ควรมีการวัดความดันและอัตราการเต้นของหัวใจประมาณ 1-2
ชั่วโมงหลังจากเริ่มให้ยาครั้งแรก นอกจากนี้ผลจากการเป็น positive inotrope
อาจส่งผลในทางลบต่อสุนัขที่มีปัญหาที่ลิ้นหัวใจในระยะแรก ๆ
มีการศึกษาในสุนัขที่ไม่มีอาการผิดปกติทางคลินิกแต่พบปัญหาที่ลิ้นหัวใจ
mitral พบว่าการให้ยา Pimobendan ทำให้รอยโรคที่ลิ้นหัวใจ mitral
ยิ่งแย่ลงไปอีก และบ่งชี้ถึงการทำงานของหัวใจในกลุ่มสุนัขที่ได้รับยา
Pimobendan เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ให้ ยา Benazepril ซึ่งอยู่ในกลุ่ม
Angiotensin-converting enzyme inhibitor (ACE inhibitor)
ผู้เขียนได้กล่าวว่าผลกระทบความเป็นพิษต่อหัวใจเกิดจากผลกระทบทางเภสัชพลศาสตร์ที่มากเกินไปมากกว่าเกิดจากความเป็นพิษจากภายใน
อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของการค้นพบนี้ถูกหักล้างลงจากการศึกษาของ EPIC
ที่ได้กล่าวไปข้างต้น จากการเริ่มให้ยา Pimobendan
ก่อนเริ่มมีอาการในสุนัขที่มีภาวะลิ้นหัวใจรั่ว
การให้ยาในสุนัขที่มีภาวะโรคหัวใจตาม ACVIM Stage B
หรือสุนัขที่ยังไม่มีอาการของการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว พบว่าการให้ยา
Pimobendan ช่วยลดขนาดของหัวใจในสุนัขที่ป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจ mitral
รั่วได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
และยังสามารถยืดระยะเวลาในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้
และลดอัตราการเสียชีวิตจากการเกิดความผิดปกติของหัวใจ
การให้ยาในสุนัขที่มีภาวะโรคหัวใจตาม ACVIM Stage C
หรือสุนัขที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวในระยะแรกถึงระยะกลาง มีการทดลองให้ยา
Pimobendan ในขนาดยา 0.25 mg/kg ทางการกิน ทุก 12 ชั่วโมง
พบว่าสุนัขที่ได้รับยานี้ร่วมกับการให้ยาขับน้ำจะมีอาการแสดงทางคลินิกของการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวน้อยลง
และมีอัตราการรรอดชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับการให้ยาในกลุ่ม ACE
inhibitor ร่วมกับการให้ยาขับน้ำ มีการศึกษาของ QUEST
เทียบอัตราการรอดชีวิตโดยวัดตั้งแต่เริ่มให้การรักษาไปจนถึงการเสียชีวิตในสัตว์
2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับยา Pimobendan และกลุ่มที่ได้รับยา Benazepril
พบว่าในกลุ่มที่ได้รับยา Pimobendan มีอัตราการรอดชีวิตสูงถึง 91% และมีค่า
median survival time อยู่ที่ 267 วัน ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับ Benazepril
มีค่าอยู่ที่ 140 วัน การให้ยา Pimobendan
ช่วยเพิ่มการบีบตัวของหัวใจร่วมกับการขยายตัวของหลอดเลือด
ทำให้ลดขนาดของหัวใจห้องล่างซ้ายและลดการรั่วของลิ้นหัวใจ mitral
นอกจากนี้ยังช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและลดการคั่งของของเหลวในร่างกายอีกด้วย
โดยสรุป ยา Pimobendan เป็นยาในกลุ่ม Inodilator
ที่ใช้ในสุนัขที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวจากการเกิด กล้ามเนื้อหัวใจขยายตัว หรือ
DCM และ ภาวะลิ้นหัวใจ mitral เสื่อม หรือ DMVD โดยแนะนำให้เริ่มการให้ยา
Pimobendan ในภาวะความเสื่อมของลิ้นหัวใจ mitral (DMVD) ระยะ B2, C และ D
และให้ในภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขยายตัว (DCM) ระยะ B2, C และ D
โดยสามารถใช้ร่วมกับยาตัวอื่นหรือใช้เดี่ยว ๆ เลยก็ได้ การให้ยานี้ในระยะ
B2 ของทั้งภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขยายตัวและภาวะความเสื่อมของลิ้นหัวใจ mitral
ช่วยยืดระยะเวลาของการเกิดความผิดปกติทางคลินิกและเพิ่มอัตราการรอดชีวิต
ส่วนการให้ยานี้ในระยะ C และ D
ของทั้งภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขยายตัวและภาวะความเสื่อมของลิ้นหัวใจ mitral
ช่วยลดความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น ลดขนาดของหัวใจ
และเพิ่มอัตราการรอดชีวิต