ความเจ็บปวดสามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ ความเจ็บปวดแบบเฉียบพลัน
และความเจ็บปวดแบบเรื้อรัง
การจัดการกับความเจ็บปวดแบบเฉียบพลันสามารถทำได้โดยการที่สัตวแพทย์ต้องหาที่มาของความเจ็บปวดนั้น
และทำการจัดการก่อนจะเกิดขึ้นรวมไปถึงมีการประเมินความเจ็บปวดซ้ำ ๆ
เพื่อลดให้เกิดความเจ็บปวดน้อยที่สุด
ในส่วนของการเจ็บปวดแบบเรื้อรังสามารถเริ่มต้นโดยการสื่อสารกับเจ้าของเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังและความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นตามมาจากโรคนั้น
รวมไปถึงการบอกเล่าเกี่ยวกับอุบัติการณ์ที่เพิ่มขึ้นจากความเจ็บปวดเรื้อรังในสัตว์และลักษณะท่าทางรวมถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของสัตว์ที่แสดงออกถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้น
โดยเปรียบเทียบระหว่างความเจ็บปวดเรื้อรังและแบบเฉียบพลันแล้ว
การประเมินความเจ็บปวดชนิดเฉียบพลันสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าทั้งในสัตวแพทย์และเจ้าของสัตว์
เป้าหมายหลักของการจัดการกับความเจ็บปวดคือการลดความเจ็บปวดให้อยู่ในระดับที่สัตว์สามารถทนต่อความเจ็บปวดนั้นได้โดยไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของสัตว์หรือลดคุณภาพชีวิตของสัตว์
หลักการโดยพื้นฐานสำหรับการจัดการกับความเจ็บปวดในสัตว์ได้แก่
ป้องกันการเกิดความเจ็บปวดโดยการใช้ยาบรรเทาอาการปวด หาที่มาของความเจ็บปวด
ใช้วิธีบรรเทาอาการปวดในหลากหลายรูปแบบ
และประเมินอาการเจ็บปวดของสัตว์หลังได้รับการบรรเทาอาการปวด
การจัดการกับความเจ็บปวดแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ 1.
การจัดการกับความเจ็บปวดโดยการใช้ยา 2. การจัดการกับความเจ็บปวดโดยไม่ใช้ยา
การจัดการกับความเจ็บปวดโดยการใช้ยา โดยส่วนมากแล้วมักใช้ยาในกลุ่ม opioid
ซึ่งมีกลไกการออกฤทธิ์เพื่อลดการส่งสารกระตุ้นระบบประสาท
เกิดการอัมพาตที่จุดส่งกระแสประสาท และยับยั้งการเจ็บปวด ตัวอย่างการใช้ยา
เช่น การให้ยา buprenorphine
ในแมวใต้ผิวหนังทุก 24 ชั่วโมง และยังมีการใช้ในสุนัขได้อีกด้วย
โดยผลข้างเคียงที่อาจพบได้จากการใช้ยาในแมวคืออุณหภูมิร่างกายอาจสูงขึ้น
แต่สามารถจัดการได้หากมีการติดตามอาการและปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
นอกจากยาในกลุ่ม opioid แล้วยังมีการใช้ยาในกลุ่ม Non-steroidal
antiinflammatory drugs (NSAIDs) ซึ่งมีกลไกการออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งการเกิด
prostaglandins และ leukotrienes จาก arachidonic acid โดยเอนไซม์
cyclooxygenase (COX) ตัวยาที่ได้รับการรับรองให้ใช้ได้แก่
meloxicam
ซึ่งมีทั้งในรูปแบบการกินและการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
ตัวยามีค่าครึ่งชีวิตอยู่ที่ 24 ชั่วโมง
ดังนั้นจึงสามารถให้ยาได้วันละครั้ง ตัวยาสามารถขับทิ้งได้ทางอุจจาระ 75%
และทางปัสสาวะ 25% ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าส่งผลต่อความเป็นพิษที่ไตน้อยมาก
ปริมาณยาที่ควรได้รับอยู่ที่ 0.1 mg/kg ต่อวันทางการกิน
หลังจากนั้นปรับเป็น 0.05 mg/kg ทุก 24 ชั่วโมง หรือให้ในรูปแบบยาฉีดขนาด
0.3 mg/kg ใต้ผิวหนังเพียง 1 ครั้ง หรือให้ในขนาด 0.2 mg/kg
ใต้ผิวหนังภายในวันแรก หลังจากนั้นจึงปรับเป็นขนาด 0.05 mg/kg
ในรูปแบบการกิน วันละครั้ง ใน 4 วันถัดไป ยาอื่น ๆ ในกลุ่ม NSAIDs ได้แก่
robenacoxib ในรูปแบบยาฉีดใต้ผิวหนังในขนาด
2 mg/kg วันละครั้ง ประมาณ 3 วัน หรือ ให้ในรูปแบบการกินในขนาด 1 mg/kg
วันละครั้งประมาณ 6 วัน และ
carprofen ซึ่งมักใช้ในสุนัขมากกว่าแมว
ปริมาณที่แนะนำอยู่ที่ 4 mg/kg วันละครั้ง ทั้งรูปแบบยากินและยาฉีด
อย่างไรก็ตามการใช้ยาในกลุ่ม NSAIDs
เพื่อจัดการกับความเจ็บปวดในระยะยาวยังไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากผลข้างเคียงของการใช้ยา
ได้แก่ การเกิดการระคายเคืองที่กระเพาะอาหาร การสูญเสียโปรตีนทางลำไส้
และพิษต่อไต เมื่อได้รับยาเกินขนาดที่แนะนำ
หรือเมื่อมีการให้ยาในกลุ่มนี้ร่วมกับยาในกลุ่ม corticosteroid
โดยมักแสดงอาการเบื่ออาหาร อาเจียน ท้องเสีย ซึม ในระยะเริ่มต้น
และควรหยุดการรักษาเมื่อมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับสัตว์ป่วย
นอกจากการให้ยาเพื่อลดความเจ็บปวดทาง systemic โดยการใช้ opioid และ NSAIDs
แล้ว ยังมีการระงับความเจ็บปวดเฉพาะจุดโดยการใช้ยา
bupivacaine
ซึ่งมักใช้หลังจากผ่าตัดโดยการฉีดยาเข้าที่บริเวณแผลเพื่อระงับความเจ็บปวดยาวนานถึง
3 วัน และมีการใช้ยาระงับความเจ็บปวดเฉพาะจุดอื่น ๆ อีก เช่น
dexmedetomidine, lidocaine, ropivacaine
ซึ่งมีกลไกการออกฤทธิ์คล้ายกับ bupivacaine
แต่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูงกว่า นอกจากนี้ยังมีการใช้ยา
gabapentin
เพื่อจัดการกับความเจ็บปวดชนิดเรื้อรัง
แต่ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนว่าการใช้ยาตัวนี้จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดชนิดเรื้อรังในสุนัขได้
แต่สามารถช่วยได้ในกรณีที่พบว่าแมวมีการเจ็บปวดเรื้อรังจากการเกิดข้ออักเสบเมื่อายุเพิ่มมากขึ้น
ยามีฤทธิ์ทำให้เกิดการง่วงซึม ทำให้แมวเคลื่อนไหวได้ลดลง
นอกจากนี้ยังมีผลคลายความเครียดในแมว
การจัดการกับความเจ็บปวดโดยไม่ใช้ยามีผลสนับสนุนการจัดการกับความเจ็บปวดโดยการใช้ยาและการจัดการกับความเจ็บปวดเรื้อรัง
เพื่อบำรุงรักษาร่างกายให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม ได้แก่ การควบคุมน้ำหนัก
เนื่องจาก adipose tissue จะหลั่งสารที่เป็นส่วนผสมของ cytokine
ที่ส่งไปทั่วร่างกายผ่านทางกระแสเลือด มีการศึกษาพบว่า lean body condition
score มีผลลดอัตราการเพิ่มขึ้นของการเกิดข้ออักเสบเรื้อรัง
และเพิ่มระยะเวลาในการมีชีวิต
นอกจากการควบคุมน้ำหนักแล้วยังมีเรื่องของการให้อาหารเสริมบำรุงต่าง ๆ
(โภชนเภสัช หรือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร)
โดยพบว่าในกรณีของการเกิดข้ออักเสบเรื้อรังมักมีการให้โภชนเภสัชในรูปของกรดไขมันโอเมก้า
3 ในสุนัขกันค่อนข้างแพร่หลาย
การจัดการกับความเจ็บปวดโดยไม่ใช้ยายังมีอีกหลากหลายวิธี อาทิ
การทำกายภาพบำบัด
เช่นกรณีที่สุนัขมีภาวะข้ออักเสบจะเน้นการออกกำลังกายเฉพาะจุดนั้น ๆ
เพื่อเพิ่มความสามารถในการขยับข้อต่อ (พิสัยข้อ) เสริมสร้างกล้ามเนื้อ
หรือในกรณีที่มีการบาดเจ็บทางระบบประสาท
การออกกำลังกายเฉพาะจุดจะช่วยกระตุ้นการรับรู้ของระบบประสาทมากยิ่งขึ้น
การใช้ความเย็นประคบเพื่อลดอาการปวดมักใช้ในกรณีลดปวดแบบเฉียบพลัน
โดยความเย็นที่เกิดขึ้นจะช่วยลดการกระตุ้นความเจ็บปวดบริเวณพื้นผิวเนื้อเยื่อและชะลอการส่งสัญญาณระหว่าง
Peripheral axon
นอกจากนี้ยังลดการบวมของเนื้อเยื่อโดยการทำให้เกิดเส้นเลือดหดตัว
ลดการส่งสารสื่ออักเสบมายังเนื้อเยื่อที่ได้รับความเสียหายอีกด้วย
การปรับสิ่งแวดล้อมโดยการให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในพื้นที่ที่มีขนาดเหมาะสม
มีการวางเบาะนุ่มเพื่อรองรับการนอน มีพื้นที่ให้แมวได้หลบซ่อน
ลดเสียงลงเพื่อลดสิ่งกระตุ้นให้สัตว์เกิดความเครียดเป็นต้น
การจัดการกับความเจ็บปวดถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในการดูแลสัตว์เลี้ยงด้วยความรักและเอาใจใส่ และเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสัตวแพทย์ เจ้าของ และสัตว์เลี้ยงอีกด้วย เนื่องจากการจัดการกับความเจ็บปวดจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือทั้งจากเจ้าของสัตว์และสัตวแพทย์เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เอกสารอ้างอิง
1. Gruen M. E., Lascelles X., Duncan B., Colleran E., Johnson J., and Marcellin-Little D. 2022. 2022 AAHA Pain management guidelines for dogs and cats. Veterinary practice guidelines. 58(2): 55-76
2. Jordan D. G., and Ray J. D. 2012. Management of chronic pain in cats. Today’s Veterinary Practice. 77-82.
3. Steagall P. V., Robertson S., Simon B., Warne L. N., Shilo-Benjamini Y., and Taylor S., 2022. 2022 ISFM Consensus guidelines on the management of acute pain in cats. Journal of feline medicine and surgery. 24, 4-30.